หลังจาก ที่ผ่านมา Apple ได้ทำการเปลี่ยนหน้าตาของ iOS
ให้เป็นไปในทางใหม่ใน iOS 7 เผลอแปปเดียวก็ผ่านมาครบปี
ได้เวลาของการเปิดตัว iOS 8 แล้ว
ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ก็เป็นเหมือนกับการพัฒนาต่อยอดความสามารถให้มีความสามารถ
ต่างๆ มากขึ้น บนพื้นฐานหน้าตาในแบบเดิมของ iOS 7 หลังจากที่ทีมงานลองใช้
iOS 8 beta 1 มาซักพักนึงแล้ว ก็อยากจะมารีวิวให้ได้อ่านกันครับ ว่า iOS 8
นี้เป็นอย่างไรกันบ้าง
อยากลง iOS 8 บ้างจัง ลงดีไหม?
สำหรับตอนนี้ iOS 8 ยังเป็นเวอร์ชั่น “Beta”
ซึ่งก็คือเวอร์ชั่นทดลอง ซึ่งปล่อยให้กับนักพัฒนาได้นำมาทดลองใช้
เพื่อทดสอบการรองรับแอพของตัวเองที่เขียนเอาไว้ว่ามีปัญหาหรือไม่เวลาที่
ปล่อย iOS 8 ให้กับผู้ใช้ได้ใช้งานจริงๆ จะได้มีแอพที่รองรับ iOS 8
ได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงให้นักพัฒนาช่วยกันรายงานปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่ใน iOS
8
รอไว้ให้ Apple ปล่อยเวอร์ชั่นที่ทำเสร็จแล้วก่อนในช่วงเดือนกันยายนนี้ น่าจะดี ใช้แล้วมีความสุขกว่าแน่นอนครับผม ส่วนตอนนี้ก็อ่านรีวิวจากเราไปแทนก่อนแล้วกันนะคร้าบบบ ^ ^
หลังจากการได้ลองใช้ iOS 8 beta เป็นครั้งแรก
ก็รู้สึกเลยทันทีว่าหน้าตามัน.. ไม่ต่างจากเดิมเลยครับ ฮ่าๆ
อย่างที่ได้พูดไว้ในตอนต้นแล้วว่าตัว iOS 8
นั้นจะเน้นเรื่องของการเพิ่มความสามารถใหม่ๆ เข้ามา
ดังนั้นจุดเด่นของเวอร์ชั่นนี้จึงเป็นการเพิ่มลายละเอียดการทำงานในส่วน
ต่างๆ ของ iOS มากกว่า
การแจ้งเตือนแบบใหม่ ลากลงมาแล้วตอบได้เลย
เริ่มกันที่การแจ้งเตือนแบบใหม่ ใครที่ใช้ iOS 7 อยู่
ถ้าลองสังเกตเมื่อมีการแจ้งเตือนเด้งลงมา
เราจะสามารถเอานิ้วปัดขึ้นเพื่อปิดมันทิ้ง
หรือลากลงมาเพื่อดูการแจ้งเตือนทั้งหมดใช่ไหมครับ
แต่ใน iOS 8 จะทำได้มากกว่านั้น
คือสามารถลากแถบการแจ้งเตือนลงมาเพื่อโต้ตอบได้เลยทันที
โดยที่ไม่ต้องกดเข้าไปตอบในแอพ ยกตัวอย่างเช่นเวลามีข้อความส่งเข้ามา
เราก็สามารถลากลงมาเพื่อโต้ตอบได้เลย
ลองนึกภาพ เมื่อแอพต่างๆ ในอนาคตรองรับความสามารถนี้อย่าง
Line, Facebook หรือ Twitter ให้เราตอบแชท
ตอบทวีตได้ในทันทีคงจะสะดวกไม่น้อยเลยหล่ะ
ซึ่งก็ต้องรอให้แต่ละแอพทำออกมารองรับความสามารถนี้กัน
ส่วนความสามารถที่ทำได้เลยใน iOS 8
ก็ได้แก่การลากลงมาเพื่อตอบ Messages, ตอบรับนัดหมายในปฏิทิน, มาร์ค email
ว่าอ่านแล้วหรือลบทิ้งเลย, ปิดหรือเลื่อนการแจ้งเตือนของ Reminder
Notifications Center แบบใหม่ มี Widget ด้วย
สำหรับ Notifications Center ที่ลากลงมาดูการแจ้งเตือนต่างๆ
หน้าตานั้นก็ยังคงเหมือนเดิม แต่จะตัดแท็บ Missed
ที่เราไม่ค่อยได้ใช้ออกไป (หรืออาจจะไม่เคยใช้เลยด้วยซ้ำ!) เหลือแค่แท็บ
Today กับแท็บ Notifications เท่านั้น
ซึ่งในแท็บ Today นี้
มีความสามารถใหม่เพิ่มเข้ามาคือแต่ละแอพสามารถมี Widget
ของตัวเองใส่ไว้ในหน้านี้ได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่นแอพแสดงราคาน้ำมัน
ถ้าแอพนี้ทำ Widget เป็นของตัวเอง ก็สามารถเอาราคาน้ำมันขึ้นมาแสดงในแท็บ
Today ได้เลยทันที เพิ่มความสะดวก ไม่ต้องกดเข้าไปอ่านในแอพ
(ก็ขึ้นอยู่กับว่าในอนาคตจะมีแอพไหนที่ทำ Widget มาให้ใช้งานกันบ้างครับ)
และในแท็บ Today นี้ จะมีปุ่ม edit ที่มีเอาไว้ให้เราจัดการ
Widget ต่างๆ ที่อยู่ในแท็บนี้ จะให้อันไหนแสดง จะปิดอันไหน
จะเรียบลำดับอันไหนก่อนหลังก็สามารถเลือกได้เลย ใน iOS 7
ของเดิมตัวเลือกนี้จะอยู่ใน Settings
แท็บถัดมา คือแท็บ Notifications (หรือแท็บ All ใน iOS 7
นั้นแหล่ะครับ) จะเป็นการแสดง Notification ทั้งหมด ดูเผินๆ
เหมือนจะเหมือนเดิม แต่ถ้าเมื่อลองปัดไปทางซ้ายของการแจ้งเตือนแต่ละอัน
จะพบว่าสามารถแสดงตัวเลือกเพื่อปิดการแจ้งเตือนทีละอันได้
และเช่นเดียวกันกับแถบการแจ้งเตือนที่ด้านบน
ถ้าแอพไหนมีการแจ้งเตือนที่มีตัวเลือกให้เลือก
ก็จะสามารถปัดไปด้านซ้ายเพื่อแสดงตัวเลือกต่างๆ ได้
เช่นตอบข้อความหรือลบทิ้งเป็นต้น
สำหรับการแจ้งเตือนในหน้า Lock Screen ก็เช่นกัน สะดวกขึ้นเยอะเลยQuick Access โทรออกสะดวกขึ้น
ปกติแล้วเวลาที่เราจะสลับแอพที่เปิดอยู่ เราจะกดปุ่ม Home 2
ทีติดกันใช่ไหมครับ ใน iOS 8 หน้า Multitasking นี้
จะไม่ได้มีแค่แอพที่เปิดอยู่เท่านั้น แต่จะมีรายชื่อผู้ติดต่ออยู่ด้วย ซึ่ง
Apple เรียกส่วนนี้ว่า Quick Access
เจ้า Quick Access นี้จะรวมเอารายชื่อผู้ติดต่อมาให้กดง่ายขึ้น
โดยไม่ว่าจะอยู่หน้าไหนก็ตาม กดปุ่ม Home 2 ครั้ง
แล้วสามารถเลือกรายชื่อได้เลย ไม่ต้องออกมาเข้าแอพโทรศัพท์เพื่อโทรออก
รายชื่อที่มาแสดงใน Quick Access นั้นจะแบ่งออกเป็นสองประเภท
ได้แก่รายชื่อที่เราเพิ่งติดต่อ 8 คนล่าสุด และสามารถปัดมาทางด้านซ้าย
เพื่อดูรายชื่อที่เราตั้งเป็นรายชื่อโปรดไว้
ตัวเลือกที่มีให้ในการติดต่อก็ได้แก่ การโทร, ส่งข้อความ และการใช้ FaceTime ครับ
คีย์บอร์ดแบบใหม่ “QuickType”
ด้านของคีย์บอร์ด iPhone ก็มีความเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน
โดยมีการเพิ่มคีย์บอร์ด “QuickType”
ที่จะมีการการเพิ่มการเดาคำศัพท์ที่เราจะพิมพ์ต่อเข้ามา
เป็นการพัฒนาความสามารถต่อมาจาก Auto-Correction เดิม
โดยจะมีแถบคำให้เลือกอยู่เหนื่อยคีย์บอร์ด ซึ่งคีย์บอร์ดนี้จะรู้ได้ว่า
เรากำลังใช้ประโยคที่เป็นทางการขนาดไหน ดูจากแอพที่ใช้เช่นถ้าเป็นแอพ
Messages ก็จะไม่ใช้คำทางการเท่าแอพเมลล์เป็นต้น
หรือจะคาดเดาคำที่จะใช้ว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไรได้ ที่สำคัญ
ความสามารถของคีย์บอร์ด QuickType นี้รองรับภาษาไทยด้วยครับ เป็น 1 ใน 14
ภาษาที่รองรับเลยทีเดียว
เมื่อลองมาใช้จริงๆ พบว่าคีย์บอร์ด QuickType
เมื่อพิมพ์ภาษาอังกฤษค่อนข้างโอเคมากครับ
หลักการทำงานของมันคือระหว่างที่พิมพ์ข้อความอยู่ เมื่อยังพิมพ์ไม่ครบคำ
สามารถจิ้มเลือกคำที่เสนอมาให้ที่แถบด้านบนได้เลย
ส่วนคำไหนที่เครื่องตรวจว่าพิมพ์ผิด เมื่อกด space
ก็จะแก้เป็นคำที่ถูกให้เหมือนกับการเปิด “Auto-Correction” ใน iOS
รุ่นก่อนๆ และใน iOS 8 จะสามารถเลือกคำที่แก้ได้มากกว่าเดิมด้วย
แต่สำหรับภาษาไทยแล้ว เท่าที่ลองใช้มายังไม่ค่อยโอเคครับ
เนื่อจากเครื่องจะยังไม่ค่อยรู้คำแปลกๆ ดังนั้นเมื่อพิมพ์คำแปลกๆ
แล้วต้องเว้นวรรค ระบบ “Auto-Correction” ก็จะแก้คำ
ซึ่งบางทีถูกแล้วกลับผิดมาให้ซะอย่างงั้น
และจะเปิดแต่แถบแนะนำคำศัพท์ด้านบนอย่างเดียวก็ไม่ได้
เพราะถ้าจะเปิดให้มีแถบแนะนำคำศัพท์ก็จะต้องเปิด Auto-Correction ด้วย
ดังนั้นฟีเจอร์นี้สำหรับคนที่ต้องพิมพ์ภาษาไทย
ก็คงต้องกดปิดไว้แบบเดิมดีกว่า (แต่ไม่แน่ตัวเต็มอาจจะดีกว่านี้ก็ได้นะ)
อ่อ!! สำหรับใน iOS 8 นี้ โหลดคีย์บอร์ดมาลงเองได้ด้วยนะ ไม่จำเป็นต้องใช้ของเครื่องเองเสมอไปก็ได้
ความสามารถของภาษาไทยที่เพิ่มมากขึ้น
ถึงแม้ว่าฟังก์ชั่น QuickType
อาจจะยังใช้ไม่ค่อยได้จริงกับภาษาไทย แต่ความสามารถใหม่ๆ
ที่เพิ่มเข้ามาของภาษาไทยยังมีอีกครับ
เพราะถ้าลองสังเกตกันดูจะเห็นว่าคีย์บอร์ดภาษาไทยมีรูปไมโครโฟนอยู่ด้วย
แล้ว!! ใช่ครับ เราสามารถกดไมโครโฟนนี้ เพื่อพูดภาษาไทย
แล้วเครื่องจะแปลที่เราพูดมาเป็นตัวอักษรภาษาไทยให้ ฟังดูดีใช้ไหมหล่ะครับ
สำหรับการใช้งานจริงกับการพิมพ์ด้วยเสียงเป็นภาษาไทย
ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว สามารถทำงานได้รวดเร็ว
และพิมพ์ออกมาแทบไม่ผิดเลย ยิ่งเป็นประโยคง่ายๆ นี่หายห่วง ฉลาดพอตัวเลย
และสามารถพูดเป็นประโยคยาวๆ ก็ได้ (แต่จะเรียงติดกันเป็นพืดเดียวไปหมดเลย
ไม่มีเว้นวรรคตามที่เราหยุดพูด)
ถ้าเป็นประโยคที่มีคำศัพท์แปลก พูดแบบที่เป็นไทยคำอังกฤษคำ หรือพูดเร็วจนเกินไป อันนี้ก็เริ่มจะมีผิดบ้างแล้วครับ
แต่ความสามารถของภาษาไทยที่เพิ่มเข้ามายังไม่หมดแค่นี้
เพราะยังมีการเพิ่มตัวเลือกดิกชันนารีภาษาไทยเข้ามาอีก
ให้สามารถโหลดเข้ามาเพิ่มได้ สังเกตตอนเรากดจะ Copy ข้อความจะมีตัวเลือก Define ให้แปลข้อความครับ
สำหรับใน iOS 8 นี้สามารถโหลดดิกชันนารีภาษาไทย แล้วกด Define
เพื่อแปลข้อความจากภาษาไทยเป็นภาษาไทยได้แล้ว
แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีการแปลแบบภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ
หรือแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยได้
ความสามารถพิมพ์ไทยด้วยเสียง และดิกชันนารีภาษาไทยมีมาทั้งใน iOS 8 และ OS X Yosemite เลยนะครับ
แอพ Note ทำอะไรได้มากกว่าเดิม
หลังจากที่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา
แอพนี้จะเน้นกดพิมข้อความจดไว้อย่างเดียว
ไม่ได้มีความสามารถอะไรพิเศษมากมาย ใน iOS 8 ได้มีการเพิ่มความสามารถของแอพ
Note ให้มีการ ขีดเส้นใต้ข้อความ, ทำตัวหนา, ทำตัวเอียงได้
โดยสามารถเลือกได้จากการแตะ 2
ครั้งที่ข้อความนั้นๆ รวมถึงสามารถใส่รูปเข้าไปได้เช่นกัน
Siri ถามเพลงได้
สำหรับ Siri มีความสามารถเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยเช่นกัน
ในคราวนี้เราสามารถกดเรียก Siri แล้วยื่น iPhone ไปให้ฟังเพลงได้ Siri
ก็จะฟังเพลงของเรา แล้วหาชื่อเพลงมาให้ (ใช้ข้อมูลจาก Shazam)
พร้อมทั้งขึ้นให้ซื้อเพลงจากใน iTunes ได้เลย
อีกอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ คือเวลาเราพูดอะไรกับ Siri
ข้อความที่เราพูดจะขึ้นมาเลยในจอ แม้เราจะยังพูดไม่จบประโยคก็ตาม
เป็นเอฟเฟคที่สวยดีเหมือนกันฮะ
และเมื่อเครื่องเสียบชาร์จอยู่ หรือเสียบกับคอมอยู่
เราสามารถพูดทั้งๆ ที่เครื่องปิดจออยู่ว่า “Hey, Siri”
เครื่องก็จะติดขึ้นมา แล้วเปิด Siri ให้พร้อมคุยกับเราทันที
แต่ถ้าเราไม่ได้เสียบชาร์จอยู่ ก็ต้องกดปุ่ม Home
ค้างเพื่อเรียก Siri ขึ้นมาอย่างเดิม แต่เมื่อเปิด Siri
ขึ้นมาแล้วสามารถใช้ “Hey, Siri”
ในการเรียกเพื่อคุยแทนการกดปุ่มไมโครโฟนได้
ดูเปอร์เซนต์การใช้แบตแบบละเอียดได้ใน Battery Usage
เมื่อเข้าไปที่หน้า Settings > General > Usage จะมีตัวเลือกให้ดู Battery Usage
ได้ สามารถดูเปอร์เซนต์เป็นรายแอพได้แบบเดียวกันกับฝั่งของ Android เลย
มีตัวเลือกในการดู 2 แบบคือดูย้อนหลัง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา กับดูย้อนหลัง 7
วัน ต่อไปนี้แอพไหนที่กินแบตเยอะ เราก็สามารถรู้ได้แล้ว
แอพกล้องมีตัวเลือกมากขึ้น
ถึงแม้ในงาน WWDC จะไม่มีพูดถึงแอพกล้องเลย
แต่ก็มีความสามารถเพิ่มเข้ามาด้วยกันหลายอย่างเลยหล่ะครับ
อย่างแรกคือสามารถตั้งเวลานับถอยหลังในการถ่ายรูปได้แล้ว (ซักที!)
สามารถเลือกได้ว่าจะนับถอยหลัง 3 วิ หรือ 10 วิ
อย่างต่อมา ขณะที่เราจิ้มโฟกัส จะสามารถปัดนิ้วขึ้นลงเพื่อเลื่อนระดับความสว่างของภาพได้
และมีโหมดในการถ่ายรูปโหมดใหม่ “Time-Lapse”
ที่จะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ประมาณวินาทีละรูป
แล้วนำรูปทั้งหมดมาต่อกันเป็นวีดีโอให้
อย่างในวีดีโอตัวอย่างที่เราลองถ่ายมานี้ก็ถ่ายทิ้งไว้ประมาณเกือบ 15
นาทีครับ
ส่วนใครที่ใช้ iPad อยู่ แอพกล้องเองจะมีความสามารถในการถ่าย Panorama ได้แล้วเช่นกัน
แอพ Photos แต่งรูปเก่งขึ้น, ตัวเลือกมากขึ้น
เมื่อพูดถึงการถ่ายภาพแล้ว
เดี๋ยวนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการแต่งภาพใช่ไหมหล่ะครับ สำหรับใน iOS 8
ได้มีการเพิ่มความสามารถในการแต่งภาพให้เก่งขึ้นไปอีกขั้นนึง
ความสามารถที่เพิ่มเข้ามาก็เช่นการ Crop รูป
แบบกำหนดอัตราส่วนได้, ภาพไหนที่ถ่ายมาเอียง
ก็สามารถหมุนเองให้รูปตรงได้อัตโนมัติ หรือจะปรับกี่องศาก็แล้วแต่เราเลย
ด้านการปรับแสงและสีของรูปก็มีตัวเลือกให้เลือกมากขึ้น ส่วน
ใครที่ขี้เกียจปรับเยอะ ปุ่ม Auto Enhance
ที่กดทีเดียวแต่งรูปให้เลยก็ยังมีอยู่ ฟังก์ชั่นการแต่งรูปใหม่นี้น่าจะถูก
ใจหลายๆ คน เอาไว้ใช้แทนแอพแต่งรูปง่ายๆ บางแอพได้เลย
ในส่วนของแอพ Photos เองก็มีการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ
ด้วยเช่นเดียวกัน เช่นสามารถค้นหารูปได้แล้ว
โดยเราสามารถพิมพ์ค้นหาตามสถานที่ ที่ถ่ายภาพ
แอพก็จะหาภาพที่ถ่ายตามสถานที่ในชื่อนั้นๆ มาให้
ในหน้าดูรูปที่เราถ่าย สามารถกด Favorite
แต่ละรูปได้ที่รูปหัวใจด้านล่าง ซึ่งจะมีอัลบัมภาพที่ถูกกด Favorite
ให้เราเข้าไปดูง่ายๆ แยกออกมาต่างหากโดยเฉพาะ
สำหรับการลบภาพทิ้งใน iOS 8 นี้ การลบรูป
จะไม่ได้ลบแล้วลบเลยเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่เมื่อกดลบ
รูปของเราจะย้ายไปอยู่ใน Recently Deleted (คล้ายๆ กันกับ Recycle Bin ใน
Windows นั่นเอง) เผื่อเผลอลบรูปผิด ก็สามารถกลับเข้าไปกู้ภาพได้
ส่วนรูปที่ลบแล้วมาอยู่ใน Recently Deleted
ก็สามารถกดกู้/กดลบเป็นรายรูปได้
หรือจะกดกู้/ลบรูปทั้งหมดทิ้งในทีเดียวเลยก็ได้
ต่อไปนี้ใน iOS 8 เวลาจะลบรูปอะไรก็อย่างลืมมาลบใน Recently Deleted นี้ด้วยนะคร้าบ อิอิ
ตัวเลือกใหม่ในการเก็บรูปบน iCloud
การเก็บรูปภาพที่ถ่าย ขึ้นไปบน iCloud จะมีตัวเลือกใหม่ขึ้นมา
ของเดิมคือจะอัพรูปถ่ายขึ้น Photo Stream อัตโนมัติ รูปที่ถูกเก็บอยู่บน
Photo Stream จะถูกส่งไปที่เครื่องอื่นๆ ของเราโดยอัตโนมัติ
โดยรูปที่อยู่บน Photo Stream จะถูกจำกัดอยู่ที่ 30 วัน
ถ้าเราไม่เปิดเครื่องอื่นๆ เพื่อดึงรูปไปก่อนภายใน 1 เดือน
รูปก็จะไม่ถูกส่งไปที่เครื่องนั้นๆ
ซึ่งใน iOS 8 จะเพิ่มทางเลือกใหม่ อีกทางเลือกนึกนึง
คือการที่สามารถอัพ Photo Library ทั้งอันขึ้นไปอยู่บน iCloud ได้เลย
ไม่จำจัดจำนวนภาพหรือจำนวนวันอีกต่อไป แต่จะใช้พื้นที่บน iCloud ของเราแทน
โดยพื้นที่ตรงนี้มีมาให้ 5GB รวมกับการใช้งาน iCloud อย่างอื่นทั้งหมด
ถ้าอยากได้พื้นที่ iCloud เพิ่มก็จะต้องซื้อครับ
ราคาค่อนข้างแฟร์ดีสำหรับคนที่อยากสำรองข้อมูลไว้ให้อยู่เป็นหลักแหล่งแน่
นอน แลtสะดวกในการโหลดมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ โดยเริ่มที่ 20GB ราคา 30
บาทต่อเดือน
แต่ถ้าคิดว่ายังไม่จำเป็น ก็สามารถเลือกใช้ Photo Stream เพื่อส่งรูปมาเก็บไว้ในคอมแบบเดิมได้ครับ
หน้าแชร์ปรับแต่งได้ตามใจเรา
หลังจากพูดถึงแอพกล้องไปแล้ว แต่งรูปไปแล้ว อย่างต่อมา ตัวเลือกในการ Share ก็ได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเช่นกัน
เพราะใน iOS 8 นี้เราจะสามารถจัดการตัวเลือกในหน้า Share ได้แล้วว่าจะให้มีตัวเลือกแชร์ไปไหนได้บ้าง โดนกดที่ปุ่ม “More”
อันหลังสุด อย่างในหน้านี้ ถ้าเราไม่เคยใช้ Flickr
ก็สามารถปิดไม่ให้อยู่ในหน้า Share ได้ ส่วนถ้าเราแชร์ขึ้น Facebook บ่อยๆ
เราก็เลื่อนไอค่อนของ Facebook ไปไว้อันแรกได้เลย
ส่วนแถบการจัดการอื่นๆ ที่ด้านล่าง ก็สามารถตั้งได้เช่นกันว่าจะให้ตัวเลือกไหนอยู่ก่อนหลัง
เป็นอย่างไรกันบ้าง กับ iOS 8 beta 1
บอกเลยว่านี่ยังไม่หมดส่วนที่เพิ่มเข้ามาใหม่ใน iOS 8 นะครับ
เพราะมันมีอะไรใหม่เข้ามาเยอะมากจริงๆ
ดังนั้นส่วนที่เหลือเดี๋ยวเรามาดูกันต่อในรีวิว iOS 8 ตอนหน้ากัน รับรองว่า
iOS 8 ยังมีอะไรเด็ดๆ อยู่อีกหลายอย่างเลย
ที่มา : iPhone society
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น