วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Apple ได้เปิดตัว OS X 10.11 เป็นที่เรียบร้อย ใช้โค้ดเนมว่า El Capitan

apple-wwdc-2015-os-x

Apple ได้เปิดตัว OS X 10.11 เป็นที่เรียบร้อย ใช้โค้ดเนมว่า El Capitan (หุบเขาในอุทยานแห่งชาติ Yosemite) ซึ่งรอบนี้จะเน้นไปที่ประสบการณ์ผู้ใช้และความเสถียรเป็นหลัก

apple-wwdc-2015-os-x1

Apple เพิ่มระบบ Gesture หรือการวาดนิ้วบน Trackpad ใหม่หลายรูปแบบคล้ายๆ กับ iOS เพื่อทำให้ OS X ทำงานได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น เช่น ทำการ swipe เพื่อลบหรือตั้งว่าอ่านแล้วใน Mail

apple-wwdc-2015-os-x8

Pinned Site เราสามารถปักหมุดเว็บที่ใช้บ่อยโดยลากไปด้านซ้ายของ Safari เพื่อให้กดเข้าไปเช็คได้ง่ายๆ

apple-wwdc-2015-os-x2

ระบบ Spotlight ฉลาดยิ่งขึ้น สามารถแสดงสภาพอากาศได้ในตัว ค้นหาข้อมูลต่างๆ ได้มากขึ้น

apple-wwdc-2015-os-x3

apple-wwdc-2015-os-x4

Spaces พร้อม Split-screen ทำให้การจัดหน้าต่างสะดวกและเพิ่มพื้นที่การทำงาน

apple-wwdc-2015-os-x5

OS X El Capitan จะปรับปรุงประสิทธิภาพหลายอย่าง เช่น แอพเปิดเร็วขึ้น 1.4 เท่า, สลับไป-มาระหว่างแอพเร็วขึ้น 2 เท่า, เปิดอีเมลฉบับแรกเร็วขึ้น 2 เท่า และเปิด PDF ใน Preview เร็วขึ้น 4 เท่า

apple-wwdc-2015-os-x6

ระบบ Core Graphics แบบใหม่ชื่อ Metal ที่ Apple ได้ใช้บน iOS มาก่อนหน้านี้แล้ว

Metal จะลดความซับซ้อนของระบบลงจากเดิม ทำให้ตัวแอพเข้าถึงซีพียูดีขึ้น เพราะไม่ต้องผ่านกระบวนการเยอะ ส่งผลให้การเรนเดอร์เร็วขึ้นถึง 50% ฉะนั้นการประมวลผลกราฟฟิกจะลื่นไหล การเล่นเกมจะราบรื่นขึ้น และสามารถใส่รายละเอียดลงไปในเกมได้เยอะกว่าเดิม

ตอนนี้มีบริษัทเบื้องหลังเกมหลายแห่งและแอพระดับหลายแห่งโปรพร้อมตบเท้า ใช้เทคโนโลยี Metal เพื่อทำให้แอพสามารถรันบน Mac ได้ดียิ่งขึ้นหลายบริษัท เช่น Unity, Blizzard, Autodesk, Unreal Engine, Feral ฯลฯ

กำหนดการเปิดตัวและทดสอบ OS X El Capitan

apple-wwdc-2015-os-x7

Developer Beta จะเปิดให้นักพัฒนาทดสอบวันนี้
Public Beta จะเปิดให้คนทั่วไปที่ลงทะเบียนทดสอบได้เดือนกรกฎาคมนี้
เวอร์ชันจริง จะออกปลายปี

Mac เครื่องไหนที่สามารถอัพเดต OS X Yosemite ได้ ก็สามารถอัพเกรด OS X El Capitan ได้ทุกเครื่อง


เครดิต:

MacThai

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

[Review] ทดลองเล่น iOS 8 beta 1: ยังมีอีกหลายสิ่งที่ซ่อนอยู่ (ตอนจบ)

title

หลังจากที่เรารีวิว iOS 8 beta 1 ตอนแรกไป เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา แน่นอนครับ ความสามารถที่มีมาใหม่ของ iOS 8 นั้นยังไม่หมดแน่นนอน เพราะยังมีอีกหลายอย่างเลยที่ใส่เพิ่มเข้ามา ทั้งที่ Apple ได้ประกาศในงานเปิดตัว รวมถึงบางอย่างที่ Apple เองก็ไม่ได้บอกเรา เรามาดูกันดีกว่าครับว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง กับรีวิว iOS 8 beta 1 ตอบจบ

ทำงานร่วมกับ Mac มากขึ้นด้วย “Continuity”

ความสามารถนี้ เรียกได้ว่าเอาใจคนที่ใช้เครื่อง Mac ร่วมกันกับ iPhone, iPad, iPod touch เต็มที่เลยครับ เพราะจะเป็นความสามารถที่ช่วยให้การใช้งานระหว่าง OS X Yosemite กับ iOS 8 ราบรื่น ต่อเนื่องมากขึ้น แบ่งออกเป็นฟังก์ชั่นย่อยๆ หลายอย่างได้แก่

Handoff

เคยกำลังนั่งอ่านอะไรอยู่ซักอย่างค้างไว้อยู่บนคอมแล้วขี้ เกียจนั่ง อยากไปนอนอ่านสบายๆ บนจาก iPad บนโซฟาหรือบนเตียงไหมครับ แต่ถ้าลุกไปก็ต้องไปเปิดหน้าเว็บพิมพ์ url ใหม่อีกที ความสามารถ Handoff นี้ช่วยให้เราสะดวกขึ้น ด้วยขณะที่เรากำลังทำงานอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเปิดเว็บ ส่งเมลล์ พิมพ์โน้ตในแอพโน้ต หรือทำงานอยู่ในแอพ iWork ใน iOS ก็จะมีขึ้นไอค่อนให้กดเข้ามาทำต่อได้เลยทันทีในหน้า lock screen
จากการลองใช้งานจริง เหมือนใน beta1 นี้ ฟังก์ชั่นนี้จะยังไม่ค่อยสมบูรณ์ ยังใช้งานได้เพียงแอพ Safari แต่ก็พอเห็นภาพการทำงานคร่าวๆ ได้ครับว่า สมมุติเรากำลังอ่านรีวิว iOS 8 จากเว็บ iPhoneSociety อยู่ ใน iPad และ iPhone ก็จะขึ้นโลโก้ Safari ที่มุมล่างซ้ายด้วยเหมือนกัน โดยสามารถแตะแล้วสไลด์ขึ้น เพื่อเปิดได้เหมือนกันกับทางลัดเข้าแอพกล้องครับ
photo1

เมื่อเปิดเข้ามา Safari บน iPhone ก็จะทำการเปิดหน้าเว็บที่กำลังเปิดอยู่บนเครื่อง Mac ต่อให้อัตโนมัติ (แต่จะเปิดเฉพาะหน้าต่างเดียวที่เรากำลังอ่านอยู่นะครับ ถ้าเปิดหลายแท็บก็ไม่ได้เปิดตามให้ทั้งหมด)
photo2

ส่วนในเครื่อง Mac เองจะมีไอค่อนโผล่ขึ้นมาทางด้านซ้ายของ Dock เพื่อบอกว่า ขณะนี้ กำลังถูกเปิดหน้าเว็บตามบน iPad, iPhone อยู่ ถ้าฟีเจอร์นี้ทำงานได้สมบูรณ์เมื่อไหร่ ก็น่าจะสะดวกมากๆ สำหรับการใช้งานหลายเครื่องแบบสลับกันไปมาครับ

AirDrop

หลังจาก AirDrop ได้มีครั้งแรกใน OS X 10.7 Lion ซึ่งเป็นการส่งไฟล์หากันแบบง่ายๆ สำหรับเครื่องที่อยู่ใกล้กัน หลายคนก็เริ่มบ่นว่าทำไมไม่มี AirDrop บน iOS บ้าง จนกระทั้งใน iOS 7 แอปเปิลก็ได้นำความสามารถ AirDrop ใส่เข้ามาใน iOS แล้ว แต่ก็อีก เพราะ AirDrop บน OS X ก็ส่งไฟล์หา iOS ไม่ได้ ส่วน AirDrop ของ iOS ก็ส่งไฟล์หา OS X ไม่ได้เช่นกัน เป็น AirDrop ที่ต่างคนต่างอยู่จริงๆ ส่งอะไรหากันไม่ได้เลย
photo3

มาใน iOS 8 นี้ ปัญหาที่ได้ถูกแก้ไปแล้วเสียที เราสามารถให้ส่งไฟล์ไปมาหากันได้ วิธีใช้งานก็เหมือนเดิมเลย ใน iOS เมื่อจะแชร์รูปหรือไฟล์ต่างๆ จะเจอชื่อของเครื่อง Mac อยู่ สามารถเลือกแล้วกดส่ง
photo4

ไฟล์ก็จะมาอยู่ในเครื่อง Mac เรียบร้อย หรือในเครื่อง Mac ก็สามารถเปิด AirDrop แล้วเจอ iOS Device เพื่อส่งไฟล์ไปหาได้ด้วยเช่นกัน

Instant Hotspot

หลังจากที่ AirDrop สามารถรู้ได้ว่าเครื่อง iOS Device กับเครื่อง Mac เครื่องไหนอยู่ใกล้กันบ้าง ฟีเจอร์นี้ก็จะดูว่าถ้าหากเครื่องอยู่ใกล้กัน แล้ว iPhone เปิด Personal Hotspot ไว้อยู่ 
photo5

จะสามารถกด connect เพื่อใช้อินเตอร์เน็ตจากเครื่องนั้นได้เลยทันที โดยใน OS X Yosemite จะเป็นเมนูแยกต่างออกมาชัดเจน นอกจากจะเป็นตัวเลือกให้กดเพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแล้ว ยังบอกข้อมูลอื่นๆ ของ iPhone เช่นแบตเตอรี่ที่เหลือ สัญญาณโทรศัพท์ ประเภทของเครือข่ายที่ใช้ (edge, 3G, 4G) 
เมื่อเลิกใช้งาน iPhone ก็จะปิดหยุดการเชื่อมต่อโดยอัตโนมัติครับ

answering the call

ความสามารถอีกอย่างนึง ระหว่าง iPhone, iPad และ Mac นั่นคือสามารถรับสายที่โทรเข้ามาหา iPhone จากเครื่องใดก็ได้ จะมีแจ้งเตือนสายเข้าบนเครื่องต่างๆ ของเรา แต่เท่าที่ลองตอนนี้ ความสามารถนี้ยังไม่สามารถใช้งานได้ครับ น่าจะมาใน beta ตัวถัดๆ ไปครับ

อัดวีดีโอหน้าจอของ iOS ได้ด้วย QuickTime

ความสามารถที่มาแบบลับๆ อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือเมื่อใช้ iOS 8 กับ OS X Yosemite แล้ว เราสามารถอัดวีดีโอหน้าจอของ iPhone ได้เลย โดยเมื่อเสียบสาย usb เข้ากับ OS X จะมองเห็นหน้าจอ iPhone ของเราเป็นเหมือนกับ input อันนึงของเครื่องครับ 
photo6

สามารถใช้แอพที่ดู input ของเครื่องได้ อย่างเช่นแอพ QuickTime เมื่อกด New Movie Recording แล้วเลือก input ที่จะอัดวีดีโอ จะมีตัวเลือกวีดีโอหน้าจอของ iPhone โผล่ขึ้นมาทันทีครับ

iCloud ปรับใหม่ ดูข้อมูลได้มากขึ้น

สำหรับ iCloud นอกจากจะมีการปรับราคาพื้นที่ใหม่ ให้ถูกลงกว่าเดิม โดยแจกฟรี 5GB และมีให้ซื้อเพิ่มในราคาเริ่มต้นที่ 20GB : 30 บาทต่อเดือนแล้ว
หน้าจัดการข้อมูลของ iCloud ก็มีการปรับใหม่เล็กน้อย มีการปรับให้ตัวเลือกต่างๆ อยู่เป็นที่เป็นทางมากขึ้น รวมถึงเพิ่มส่วนของหน้าดูข้อมูลของ Apple ID ของเรา 
photo7

ซึ่งจะสามารถบอกข้อมูลเกี่ยวกับ Apple ID ของเราเช่น ข้อมูลส่วนตัว, ที่อยู่, อีเมลล์ที่ใช้, การตั้งค่า password, ข้อมูลบัตรเครดิตที่ใช้ ซึ่งของเดิมถ้าจะดูข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ต้องไปดูในเว็บหรือแอพ iTunes บนคอมพิวเตอร์ 
photo8

แต่ก็ไม่ต้องห่วงว่าใครจะสามารถเข้ามาแอบดูข้อมูลต่างๆ ของเราได้ เนื่องจากการที่จะเข้ามาตรงนี้ จะต้องใส่ password ของ Apple ID เราก่อนครับ

Control Center เปลี่ยนเล็กน้อยในตอนปรับความสว่างจอ

ดูเผินๆ หน้าตาของ Control Center ที่ให้ลากจากด้านล่างหน้าจอขึ้นมาก็ยังคงเหมือนเดิมกับใน iOS 7 ใช่ไหมครับ แต่ใน Control Center บน iOS 8 นี้ แอบมีลูกเล่นเล็กๆ ที่เป็นปัญหาที่บางคนบ่นมา
นั่นคือใน iOS 7 ของเดิม เมื่อลาก Control Center ขึ้นมาปุ๊บ หน้าจอด้านหลังจะถูกทำให้มืดลงกว่าเดิม เหลือแต่ Control Center ที่สว่าง เพื่อให้เด่นขึ้นมา แต่ทีนี้ พอกดปรับความสว่างหน้าจอจาก Control Center ก็เลยไม่รู้ว่าที่ปรับไปแล้ว มันสว่างโอเคหรือยัง ถ้าอยากรู้ว่าสว่างมากไปหรือน้อยไปหรือเปล่าก็ต้องปิด Control Center ก่อน แล้วดูความสว่าง แล้วมาปรับอีกทีถ้าไม่พอใจ 
photo9

แต่ใน iOS 8 แอปเปิลได้แก้ปัญหานี้ด้วยการที่ ทันทีที่เราแตะปุ่มปรับความสว่างหน้าจอ พื้นหลังที่ถูกทำให้มืด ก็จะสว่างขึ้นมาเป็นปกติ ให้เราสามารถกะความสว่างที่ต้องการได้แม่นยำขึ้น แล้วเมื่อเราปล่อย พื้นหลังก็จะกลับไปมืดเหมือนเดิม เป็นความสามารถเล็กๆ ที่แอปเปิลเอาใจใส่พอสมควรเลยครับ 

Safari มีตัวเลือกเพิ่ม, มีหน้าดู Tab ทั้งหมดใน iPad

ในยุคนี้ที่ไม่ว่าเว็บไหนๆ ก็จะมีเว็บเวอร์ชั่นสำหรับโทรศัพท์ หรือหน้าเว็บแบบ Mobile กันทั้งนั้น เพื่อให้คนที่ใช้โทรศัพท์มือถือที่มีหน้าจอขนาดเล็กสามารถใช้งานเว็บได้ อย่างสะดวก ไม่ต้องคอยใช้นิ้วถ่างเข้าถ่างออกหน้าจอเพื่อขยายกันให้เสียเวลา
แต่สำหรับบางเว็บ หน้าเว็บเวอร์ชั่นมือถืออาจจะมีข้อมูล หรือการแสดงผลบางอย่างที่ไม่เหมือนกับหน้าเว็บแบบเต็มสำหรับบนคอม ซึ่งถ้าเป็นใน iOS รุ่นก่อนๆ ถ้าอยากดูหน้าเว็บเวอร์ชั่นแบบบนคอม ก็ต้องลุกมาเปิดคอมเท่านั้น แต่ Safari ใน iOS 8 ได้เพิ่มปุ่ม Request Desktop Site มาแล้ว ซึ่งจะอยู่ในหน้าที่เรากำลังพิมพ์ url ของเว็บ เมื่อเลื่อนส่วนของโลโก้เว็บต่างๆ ที่เรา Bookmark ไว้ ก็จะเจอกับปุ่มนี้ครับ พอกดแล้วเว็บที่เราเข้าก็จะกลายเป็นเวอร์ชั่นแบบสำหรับบนคอมธรรมดาทั่วไป 
photo10

มีอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่แอปเปิลไม่ได้ประกาศในงาน นั่นคือเวลาที่เราใช้ Safari เข้าหน้าเว็บซื้อของที่มีช่องกรอกบัตรเครดิต จะมีตัวเลือกให้ใช้กล้องสแกนบัตรเครดิตได้เลย!! 
photo11

โดยให้เราวางบัตรเครดิตไว้เฉยๆ กล้องจะสแกนข้อมูล ใช้เวลาประมาณ 3-5 วินาที หลังจากนั้นก็จะทำการกรอกข้อมูลในช่องกรอกให้เราเสร็จสรรพเลยทั้งเลขที่บัตร และชื่อ ซึ่งหลังจากลองสแกนแล้วข้อมูลก็ถูกต้องครับ ใช้ได้ดีเลยทีเดียว
photo12

สำหรับใครที่ใช้ iPad อยู่ Safari บน iPad ก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน อย่างเช่นการเปิดหน้าเว็บ ถ้าเลื่อนหน้าเว็บลงมาด้านล่าง แถบด้านบนก็จะย่อเหลือแค่ขนาดเล็กๆ เช่นเดียวกันกับ Safari บน iPhone แล้ว เพื่อให้มีพื้นที่ในการอ่านหน้าเว็บเยอะขึ้น
photo13

และได้มีการเพิ่มหน้าสำหรับดูแท็บที่เปิดอยู่ทั้งหมดด้วยครับ โดยจะมีปุ่มอยู่ที่มุมขวาบน พอกดปุ๊บ จอที่เปิดอยู่ก็จะย่อลงมา แล้วแสดงหน้าที่เปิดอยู่ทั้งหมดคล้ายๆ กับหน้าแสดงแท็บที่เปิดอยู่ของ iPhone แต่จัดรูปแบบใหม่ให้เหมาะกับจอใหญ่มากขึ้น สำหรับหน้าไหนที่ต้องการปิดก็ให้ปัดไปทางด้านซ้ายเหมือนกับของ iPhone ครับ 
photo14

iMessages ยกเครื่องเป็นแอพแชทเต็มรูปแบบ

แอพ iMessages นี่เป็นเหมือนกับการปรับปรุงครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้ครับ จากเดิมที่แอพ iMessage จะเป็นเพียงแค่แอพส่งข้อความธรรมดา มาในเวอร์ชั่นนี้ ได้ใส่ความสามารถใหม่ๆ เข้ามาเพียบ เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าแอพแชทตัวอื่นๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการส่งข้อความเสียงแบบสั้นๆ, ถ่ายคลิปวีดีโอส่งแบบสั้นๆ, คุยเป็นกลุ่ม, แชร์ตำแหน่งของเรา, มีอัลบัมรูปของกรุ๊ปแชทให้ดูย้อนหลังสะดวกๆ ที่ยังไม่มีก็คงจะเป็นการส่งสติกเกอร์แบบ Line เท่านั้นเอง 
photo15

ที่ด้านบนของคีย์บอร์ด ด้านซ้ายจะมีไอค่อนของกล้องอยู่ครับ สามารถแตะเพื่อเลือกภาพจากใน Photo Library หรือเลือกถ่ายรูปใหม่ก็ได้ ในหน้านี้จะมีส่วนที่เพิ่มมาคือ จะมีภาพที่ถ่ายล่าสุดเรียงมาให้เลือกเลย เพิ่มความสะดวกในการเลือกรูป 
photo16

แต่ถ้าแตะไอค่อนกล้องค้างเอาไว้ จะเป็นการเค้าสู่โหลดการถ่ายรูปเลยทันที โดยสามารถเลือกได้ว่าจะถ่ายเป็นภาพนี่ง หรือถ่ายเป็นวีดีโอ ถ้าต้องการถ่ายภาพนิ่งก็แตะค้างแล้วเลื่อนนิ้วไปที่ปุ่มชัตเตอร์ พอปล่อยนิ้วก็จะเป็นการถ่ายรูปโดยทันที ส่วนการถ่ายวีดีโอก็เช่นกันกัน สามารถลากนิ้วมาที่ปุ่มสีแดงเพื่อถ่ายวีดีโอ แล้วปล่อยนิ้วเมื่อถ่ายเสร็จได้เลย 
photo17

อีกฝั่งที่ด้านขวาจะเป็นปุ่มไมค์อัดเสียง Apple เรียกการใช้งานปุ่มนี้ว่า “Tap to Talk” ครับ ซึ่งการใช้งานก็จะเหมือนกันกับการใช้ปุ่มกล้องที่ด้านซ้ายคือแตะค้างเพื่อ อัดเสียง เมื่อเสร็จแล้วก็สามารถลากนิ้วไปด้านบนที่ปุ่มลูกศรเพื่อส่งคลิปเสียงได้เลย เช่นกัน
photo18

ลูกเล่นอีกอย่างของการส่งข้อความเสียง คือเมื่อมีข้อความเสียงเข้ามา สามารถยก iPhone ขึ้นมาแนบหูเพื่อฟังข้อความเสียงที่ส่งเข้ามาได้เลยเหมือนรับโทรศัพท์ เมื่อฟังข้อความเสียงที่เข้ามาเสร็จ สามารถยกขึ้นมาแนบหูอีกที เพื่อพูดข้อความเสียงกลับไปหาได้ สามารถตอบได้ตั้งแต่ในหน้า lock screen ได้เลยครับ 
photo19

แอพ Weather ดูพยากรณ์ล่วงหน้าได้มากขึ้น

แอพพยากรณ์อากาศ ที่เพิ่มปรับเปลี่ยนหน้าตาใหม่หมดใน iOS 7 ดูใน iOS 8 อาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ถ้าลองใช้งานดูจะสังเกตได้ว่าแอพพยากรณ์อากาศนี้สามารถเลื่อนขึ้นมา เพื่อดูพยากรณ์อากาศล่วงหน้าได้ถึง 10 วัน และยังมีข้อมูลอย่างอื่นให้ดูเพิ่มขึ้นมา เช่นเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก, ความเร็วลมเป็นต้น 
photo20

ในแอพ Weather เวอร์ชั่นใหม่นี้ได้เปลี่ยนข้อมูลการพยากรณ์อากาศจากของ Yahoo! มาเป็นข้อมูลจาก The Weather Channel แล้วครับ

แอพ Mail เพิ่มการใช้งานโดยการปัดนิ้ว

ในส่วนของแอพ Mail ก็มีการปรับปรุงด้วยเช่นเดียวกัน ในขณะที่เราเขียน email ใหม่ จะสามารถปัดหน้าเขียน email ลงมา เพื่อดู email อื่นๆ ได้ เอาไว้ให้เราสามารถก๊อบข้อความต่างๆ จาก email เก่าๆ ที่ส่งเข้ามา เมื่อก๊อบข้อความเสร็จแล้วก็สามารถเลือกที่หน้าเขียน email เพื่อกลับมาเขียน email ต่อได้เหมือนเดิม สามารถเขียนพร้อมกันได้หลายฉบับด้วยครับ
photo21

การใช้งานแอพ Mail ก็มีการเพิ่มลูกเล่นการปัดนิ้วเข้ามาด้วยเหมือนกัน ใน list ของ email แต่ละอัน ของเดิมเราสามารถปัดไปทางซ้ายเพื่อแสดงปุ่ม Delete แต่ใน iOS 8 นี้จะมีตัวเลือก Flag เพิ่มขึ้นมา รวมทั้งสามารถปัดไปทางด้านซ้าย เพื่อมาร์ก email ว่าอ่านแล้วได้ด้วย 
photo22

ส่วนถ้าต้องการลบ email อันไหน ก็สามารถปัดไปซ้ายสุดเพื่อลบทิ้งได้เลย เพิ่มความเร็วในการลบ email ต่างๆ
photo23

Health จุดศูนย์รวมข้อมูลด้านสุขภาพจากอุปกรณ์เสริมต่างๆ

แอพ Health จะเป็นแอพใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน iOS 8 ซึ่งจะมีความสามารถหลากหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นนอน, การออกกำลังกาย, การเต้นของหัวใจ, สารอาหารต่างๆ ซึ่งจะข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ จะได้มาจากอุปกรณ์เสริมที่สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone ได้ ดังนั้นแอพ Health จึงเป็นเหมือนศูนย์กลางของข้อมูลด้านสุขภาพของเรา ไว้ดูข้อมูลด้านสุขภาพ สำหรับผู้ที่มีอุปกรณ์เสริมเหล่านี้อยู่ครับ
photo24

หน้าตาของตัวแอพก็ทำออกมาสวยดีทีเดียวครับ หน้าแรกจะเป็นหน้า Dashboard ให้เราเลือกว่าจะให้นำข้อมูลอะไรมาแสดงในหน้านี้บ้าง ซึ่งจะแสดงข้อมูลในรูปแบบของกราฟ สามารถเลือกให้แสดงเป็นตามวัน, อาทิตย์, เดือน, ปีได้ ส่วนอันไหนที่เราไม่มีข้อมูล ก็ไม่ต้องตั้งให้แสดง
photo25

และในแอพ Health ยังมี Medical ID ซึ่งจะเก็บประวัติส่วนตัวเกี่ยวกับสุขภาพ เช่นชื่อ, อายุ, กรุ๊บเลือด, ยาที่แพ้, ประวัติการรักษา, ยาที่ใช้อยู่ ไว้กรณีที่เกิดเหตุต้องรักษาฉุกเฉินก็จะสามารถใช้ข้อมูลตรงนี้บอกกับแพทย์ ได้เลย

photo26

 

มีอะไรอย่างอื่นอีก?

App Store

หน้าค้นหาแอพใน App Store มีการปรับรูปแบบการแสดงผลใหม่ จากเดิมที่จะเป็นการเลื่อนในแนวนอน ใน iOS 8 จะเปลี่ยนมาเป็นการเลื่อนในแนวตั้งครับ
photo27

Maps

แอพแผนที่ได้มีการย้ายปุ่มเปลี่ยนมุมมองแบบ 3 มิติ เข้ามาอยู่ในไอค่อนรูปตัว i แทน ทำให้แถบด้านล่างที่หน้าแรกเหลือพื้นที่ว่างอยู่ อันนี้ก็ไม่รู้ว่าเว้นที่ไว้รอสำหรับการเพิ่มความสามารถใหม่ๆ ในอนาคตที่กำลังเป็นข่าวลือหรือเปล่า
photo28

Spotlight

สำหรับการค้นหาใน Spotlight นอกจากจะหาข้อมูลต่างๆ ภายในเครื่องนี้ได้แล้ว ใน iOS 8 ก็จะมีการนำเสนอข้อมูลอื่นๆ ที่เราน่าจะสนใจอีก โดยจะดูจากคำที่เราจะค้นหาครับ เช่นถ้าเราจะค้นเกม ถ้าเกมนั้นไม่มีอยู่ในเครื่อง ก็จะแสดงลิงค์แอพนี้ใน App Store หรือถ้าเราค้นหาข้อมูลอะไร ก็จะแนะนำลิงค์จาก Wikipedia มาให้ 
photo29

Family Sharing

ความสามารถ Family sharing จะเป็นความสามารถที่ให้คนที่อยู่ครอบครัวเดียวกัน สามารถแชร์เกม, เพลง, หนัง ที่ซื้อจาก Store มาดูด้วยกัน, สามารถแชร์บัตรเครดิตไว้ใช้ด้วยกันได้ รวมทั้งสามารถติดตามตำแหน่งคนที่อยู่ในครอบครัวได้ แต่ความสามารถนี้เท่าที่ลองดูยังไม่ค่อยสมบูรณ์ใน Beta 1 เดี๋ยวใน iOS 8 ตัวเต็ม ถ้าความสามารถนี้สมบูรณ์เมื่อไหร่เราจะมาแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักอีกทีนึงครับ
photo30

Accessibility

ในตัวเลือกของ Accessibility มีตัวเลือกนึงที่เพิ่มเข้ามา นั่นคือสามารถปรับให้หน้าจอแสดงเป็นสีขาวดำได้ แต่ความสามารถนี้จะไม่ได้ทำออกมาเพื่อเน้นการประหยัดแบตเตอรี่เหมือนของ Samsung แต่มีไว้สำหรับผู้ที่มีปัญหาทางด้านการมองเห็นครับ
photo31

สำหรับรีวิว iOS 8 beta 1 ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ ส่วน iOS 8 ตัวเต็มจะออกมาให้ทุกคนได้ใช้กันในช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ครับ ยังไงก็อดใจรอกันซักหน่อย อีกไม่นานก็จะได้ใช้กันแล้วครับ แล้วคราวหน้าเราจะมีอะไรมาฝาก อย่าลืมติดตามกันนะคร้าบ

[Review] ทดลองเล่น iOS 8 beta 1 กับการปรับปรุงของเดิมให้ดียิ่งขึ้น (ตอนที่ 1)

IMG_1456

หลังจาก ที่ผ่านมา Apple ได้ทำการเปลี่ยนหน้าตาของ iOS ให้เป็นไปในทางใหม่ใน iOS 7 เผลอแปปเดียวก็ผ่านมาครบปี ได้เวลาของการเปิดตัว iOS 8 แล้ว ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ก็เป็นเหมือนกับการพัฒนาต่อยอดความสามารถให้มีความสามารถ ต่างๆ มากขึ้น บนพื้นฐานหน้าตาในแบบเดิมของ iOS 7 หลังจากที่ทีมงานลองใช้ iOS 8 beta 1 มาซักพักนึงแล้ว ก็อยากจะมารีวิวให้ได้อ่านกันครับ ว่า iOS 8 นี้เป็นอย่างไรกันบ้าง

อยากลง iOS 8 บ้างจัง ลงดีไหม?

สำหรับตอนนี้ iOS 8 ยังเป็นเวอร์ชั่น “Beta” ซึ่งก็คือเวอร์ชั่นทดลอง ซึ่งปล่อยให้กับนักพัฒนาได้นำมาทดลองใช้ เพื่อทดสอบการรองรับแอพของตัวเองที่เขียนเอาไว้ว่ามีปัญหาหรือไม่เวลาที่ ปล่อย iOS 8 ให้กับผู้ใช้ได้ใช้งานจริงๆ จะได้มีแอพที่รองรับ iOS 8 ได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงให้นักพัฒนาช่วยกันรายงานปัญหาต่างๆ ที่มีอยู่ใน iOS 8
Screen Shot 2557-06-06 at 4.02.32 PM
 ดังนั้น เมื่อ iOS 8 beta ยังเป็นเวอร์ชั่นที่ยังไม่สมบูรณ์ จึงยังไม่ได้ปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วไปใช้ ใครที่จะไปหาเวอร์ชั่น beta มาอัพใช้เองก่อนแนะนำว่าไม่ยังไม่ควรครับ เพราะเวอร์ชั่นนี้ยังมีปัญหาต่างๆ อยู่เยอะมาก ไม่เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวันโดยสิ้นเชิง
 รอไว้ให้ Apple ปล่อยเวอร์ชั่นที่ทำเสร็จแล้วก่อนในช่วงเดือนกันยายนนี้ น่าจะดี ใช้แล้วมีความสุขกว่าแน่นอนครับผม ส่วนตอนนี้ก็อ่านรีวิวจากเราไปแทนก่อนแล้วกันนะคร้าบบบ ^ ^

photo2
หลังจากการได้ลองใช้ iOS 8 beta เป็นครั้งแรก ก็รู้สึกเลยทันทีว่าหน้าตามัน.. ไม่ต่างจากเดิมเลยครับ ฮ่าๆ อย่างที่ได้พูดไว้ในตอนต้นแล้วว่าตัว iOS 8 นั้นจะเน้นเรื่องของการเพิ่มความสามารถใหม่ๆ เข้ามา ดังนั้นจุดเด่นของเวอร์ชั่นนี้จึงเป็นการเพิ่มลายละเอียดการทำงานในส่วน ต่างๆ ของ iOS มากกว่า

การแจ้งเตือนแบบใหม่ ลากลงมาแล้วตอบได้เลย

เริ่มกันที่การแจ้งเตือนแบบใหม่ ใครที่ใช้ iOS 7 อยู่ ถ้าลองสังเกตเมื่อมีการแจ้งเตือนเด้งลงมา เราจะสามารถเอานิ้วปัดขึ้นเพื่อปิดมันทิ้ง หรือลากลงมาเพื่อดูการแจ้งเตือนทั้งหมดใช่ไหมครับ 
photo3

แต่ใน iOS 8 จะทำได้มากกว่านั้น คือสามารถลากแถบการแจ้งเตือนลงมาเพื่อโต้ตอบได้เลยทันที โดยที่ไม่ต้องกดเข้าไปตอบในแอพ ยกตัวอย่างเช่นเวลามีข้อความส่งเข้ามา เราก็สามารถลากลงมาเพื่อโต้ตอบได้เลย
photo4

ลองนึกภาพ เมื่อแอพต่างๆ ในอนาคตรองรับความสามารถนี้อย่าง Line, Facebook หรือ Twitter ให้เราตอบแชท ตอบทวีตได้ในทันทีคงจะสะดวกไม่น้อยเลยหล่ะ  ซึ่งก็ต้องรอให้แต่ละแอพทำออกมารองรับความสามารถนี้กัน
ส่วนความสามารถที่ทำได้เลยใน iOS 8 ก็ได้แก่การลากลงมาเพื่อตอบ Messages, ตอบรับนัดหมายในปฏิทิน, มาร์ค email ว่าอ่านแล้วหรือลบทิ้งเลย, ปิดหรือเลื่อนการแจ้งเตือนของ Reminder

 

Notifications Center แบบใหม่ มี Widget ด้วย

สำหรับ Notifications Center ที่ลากลงมาดูการแจ้งเตือนต่างๆ หน้าตานั้นก็ยังคงเหมือนเดิม  แต่จะตัดแท็บ Missed ที่เราไม่ค่อยได้ใช้ออกไป (หรืออาจจะไม่เคยใช้เลยด้วยซ้ำ!) เหลือแค่แท็บ Today กับแท็บ Notifications เท่านั้น
ซึ่งในแท็บ Today นี้ มีความสามารถใหม่เพิ่มเข้ามาคือแต่ละแอพสามารถมี Widget ของตัวเองใส่ไว้ในหน้านี้ได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่นแอพแสดงราคาน้ำมัน ถ้าแอพนี้ทำ Widget เป็นของตัวเอง ก็สามารถเอาราคาน้ำมันขึ้นมาแสดงในแท็บ Today ได้เลยทันที เพิ่มความสะดวก ไม่ต้องกดเข้าไปอ่านในแอพ (ก็ขึ้นอยู่กับว่าในอนาคตจะมีแอพไหนที่ทำ Widget มาให้ใช้งานกันบ้างครับ) 
photo5

และในแท็บ Today นี้ จะมีปุ่ม edit ที่มีเอาไว้ให้เราจัดการ Widget ต่างๆ ที่อยู่ในแท็บนี้ จะให้อันไหนแสดง จะปิดอันไหน จะเรียบลำดับอันไหนก่อนหลังก็สามารถเลือกได้เลย ใน iOS 7 ของเดิมตัวเลือกนี้จะอยู่ใน Settings 
photo6

แท็บถัดมา คือแท็บ Notifications (หรือแท็บ All ใน iOS 7 นั้นแหล่ะครับ) จะเป็นการแสดง Notification ทั้งหมด ดูเผินๆ เหมือนจะเหมือนเดิม แต่ถ้าเมื่อลองปัดไปทางซ้ายของการแจ้งเตือนแต่ละอัน จะพบว่าสามารถแสดงตัวเลือกเพื่อปิดการแจ้งเตือนทีละอันได้
 photo7

และเช่นเดียวกันกับแถบการแจ้งเตือนที่ด้านบน ถ้าแอพไหนมีการแจ้งเตือนที่มีตัวเลือกให้เลือก ก็จะสามารถปัดไปด้านซ้ายเพื่อแสดงตัวเลือกต่างๆ ได้ เช่นตอบข้อความหรือลบทิ้งเป็นต้น
 สำหรับการแจ้งเตือนในหน้า Lock Screen ก็เช่นกัน สะดวกขึ้นเยอะเลย
 photo8

Quick Access โทรออกสะดวกขึ้น

ปกติแล้วเวลาที่เราจะสลับแอพที่เปิดอยู่ เราจะกดปุ่ม Home 2 ทีติดกันใช่ไหมครับ ใน iOS 8 หน้า Multitasking นี้ จะไม่ได้มีแค่แอพที่เปิดอยู่เท่านั้น แต่จะมีรายชื่อผู้ติดต่ออยู่ด้วย ซึ่ง Apple เรียกส่วนนี้ว่า Quick Access
 เจ้า Quick Access นี้จะรวมเอารายชื่อผู้ติดต่อมาให้กดง่ายขึ้น โดยไม่ว่าจะอยู่หน้าไหนก็ตาม กดปุ่ม Home 2 ครั้ง แล้วสามารถเลือกรายชื่อได้เลย ไม่ต้องออกมาเข้าแอพโทรศัพท์เพื่อโทรออก
photo9

รายชื่อที่มาแสดงใน Quick Access นั้นจะแบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่รายชื่อที่เราเพิ่งติดต่อ 8 คนล่าสุด และสามารถปัดมาทางด้านซ้าย เพื่อดูรายชื่อที่เราตั้งเป็นรายชื่อโปรดไว้ 
photo10

ตัวเลือกที่มีให้ในการติดต่อก็ได้แก่ การโทร, ส่งข้อความ และการใช้ FaceTime ครับ 
photo12

คีย์บอร์ดแบบใหม่ “QuickType”

ด้านของคีย์บอร์ด iPhone ก็มีความเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน โดยมีการเพิ่มคีย์บอร์ด “QuickType” ที่จะมีการการเพิ่มการเดาคำศัพท์ที่เราจะพิมพ์ต่อเข้ามา เป็นการพัฒนาความสามารถต่อมาจาก Auto-Correction เดิม โดยจะมีแถบคำให้เลือกอยู่เหนื่อยคีย์บอร์ด ซึ่งคีย์บอร์ดนี้จะรู้ได้ว่า เรากำลังใช้ประโยคที่เป็นทางการขนาดไหน ดูจากแอพที่ใช้เช่นถ้าเป็นแอพ Messages ก็จะไม่ใช้คำทางการเท่าแอพเมลล์เป็นต้น หรือจะคาดเดาคำที่จะใช้ว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไรได้ ที่สำคัญ ความสามารถของคีย์บอร์ด QuickType นี้รองรับภาษาไทยด้วยครับ เป็น 1 ใน 14 ภาษาที่รองรับเลยทีเดียว 
photo13

เมื่อลองมาใช้จริงๆ พบว่าคีย์บอร์ด QuickType เมื่อพิมพ์ภาษาอังกฤษค่อนข้างโอเคมากครับ หลักการทำงานของมันคือระหว่างที่พิมพ์ข้อความอยู่ เมื่อยังพิมพ์ไม่ครบคำ สามารถจิ้มเลือกคำที่เสนอมาให้ที่แถบด้านบนได้เลย ส่วนคำไหนที่เครื่องตรวจว่าพิมพ์ผิด เมื่อกด space ก็จะแก้เป็นคำที่ถูกให้เหมือนกับการเปิด “Auto-Correction” ใน iOS รุ่นก่อนๆ และใน iOS 8 จะสามารถเลือกคำที่แก้ได้มากกว่าเดิมด้วย 
photo14

แต่สำหรับภาษาไทยแล้ว เท่าที่ลองใช้มายังไม่ค่อยโอเคครับ เนื่อจากเครื่องจะยังไม่ค่อยรู้คำแปลกๆ ดังนั้นเมื่อพิมพ์คำแปลกๆ แล้วต้องเว้นวรรค ระบบ “Auto-Correction” ก็จะแก้คำ ซึ่งบางทีถูกแล้วกลับผิดมาให้ซะอย่างงั้น และจะเปิดแต่แถบแนะนำคำศัพท์ด้านบนอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะถ้าจะเปิดให้มีแถบแนะนำคำศัพท์ก็จะต้องเปิด Auto-Correction ด้วย ดังนั้นฟีเจอร์นี้สำหรับคนที่ต้องพิมพ์ภาษาไทย ก็คงต้องกดปิดไว้แบบเดิมดีกว่า  (แต่ไม่แน่ตัวเต็มอาจจะดีกว่านี้ก็ได้นะ)
photo15

อ่อ!! สำหรับใน iOS 8 นี้ โหลดคีย์บอร์ดมาลงเองได้ด้วยนะ ไม่จำเป็นต้องใช้ของเครื่องเองเสมอไปก็ได้

ความสามารถของภาษาไทยที่เพิ่มมากขึ้น

ถึงแม้ว่าฟังก์ชั่น QuickType อาจจะยังใช้ไม่ค่อยได้จริงกับภาษาไทย แต่ความสามารถใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาของภาษาไทยยังมีอีกครับ เพราะถ้าลองสังเกตกันดูจะเห็นว่าคีย์บอร์ดภาษาไทยมีรูปไมโครโฟนอยู่ด้วย แล้ว!! ใช่ครับ เราสามารถกดไมโครโฟนนี้ เพื่อพูดภาษาไทย แล้วเครื่องจะแปลที่เราพูดมาเป็นตัวอักษรภาษาไทยให้ ฟังดูดีใช้ไหมหล่ะครับ
IMG_5432 
สำหรับการใช้งานจริงกับการพิมพ์ด้วยเสียงเป็นภาษาไทย ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว  สามารถทำงานได้รวดเร็ว และพิมพ์ออกมาแทบไม่ผิดเลย ยิ่งเป็นประโยคง่ายๆ นี่หายห่วง ฉลาดพอตัวเลย และสามารถพูดเป็นประโยคยาวๆ ก็ได้ (แต่จะเรียงติดกันเป็นพืดเดียวไปหมดเลย ไม่มีเว้นวรรคตามที่เราหยุดพูด)
 photo16
ถ้าเป็นประโยคที่มีคำศัพท์แปลก พูดแบบที่เป็นไทยคำอังกฤษคำ หรือพูดเร็วจนเกินไป อันนี้ก็เริ่มจะมีผิดบ้างแล้วครับ
แต่ความสามารถของภาษาไทยที่เพิ่มเข้ามายังไม่หมดแค่นี้ เพราะยังมีการเพิ่มตัวเลือกดิกชันนารีภาษาไทยเข้ามาอีก ให้สามารถโหลดเข้ามาเพิ่มได้ สังเกตตอนเรากดจะ Copy ข้อความจะมีตัวเลือก Define ให้แปลข้อความครับ
photo17

สำหรับใน iOS 8 นี้สามารถโหลดดิกชันนารีภาษาไทย แล้วกด Define เพื่อแปลข้อความจากภาษาไทยเป็นภาษาไทยได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีการแปลแบบภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ หรือแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยได้ 
photo18

ความสามารถพิมพ์ไทยด้วยเสียง และดิกชันนารีภาษาไทยมีมาทั้งใน iOS 8 และ OS X Yosemite เลยนะครับ

แอพ Note ทำอะไรได้มากกว่าเดิม

หลังจากที่ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา แอพนี้จะเน้นกดพิมข้อความจดไว้อย่างเดียว ไม่ได้มีความสามารถอะไรพิเศษมากมาย ใน iOS 8 ได้มีการเพิ่มความสามารถของแอพ Note ให้มีการ ขีดเส้นใต้ข้อความ, ทำตัวหนา, ทำตัวเอียงได้ โดยสามารถเลือกได้จากการแตะ 2 ครั้งที่ข้อความนั้นๆ รวมถึงสามารถใส่รูปเข้าไปได้เช่นกัน 
IMG_5594

Siri ถามเพลงได้

สำหรับ Siri มีความสามารถเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยเช่นกัน ในคราวนี้เราสามารถกดเรียก Siri แล้วยื่น iPhone ไปให้ฟังเพลงได้ Siri ก็จะฟังเพลงของเรา แล้วหาชื่อเพลงมาให้ (ใช้ข้อมูลจาก Shazam) พร้อมทั้งขึ้นให้ซื้อเพลงจากใน iTunes ได้เลย 
photo19

อีกอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ คือเวลาเราพูดอะไรกับ Siri ข้อความที่เราพูดจะขึ้นมาเลยในจอ แม้เราจะยังพูดไม่จบประโยคก็ตาม เป็นเอฟเฟคที่สวยดีเหมือนกันฮะ 
และเมื่อเครื่องเสียบชาร์จอยู่ หรือเสียบกับคอมอยู่ เราสามารถพูดทั้งๆ ที่เครื่องปิดจออยู่ว่า “Hey, Siri” เครื่องก็จะติดขึ้นมา แล้วเปิด Siri ให้พร้อมคุยกับเราทันที
photo20

แต่ถ้าเราไม่ได้เสียบชาร์จอยู่ ก็ต้องกดปุ่ม Home ค้างเพื่อเรียก Siri ขึ้นมาอย่างเดิม แต่เมื่อเปิด Siri ขึ้นมาแล้วสามารถใช้ “Hey, Siri” ในการเรียกเพื่อคุยแทนการกดปุ่มไมโครโฟนได้

ดูเปอร์เซนต์การใช้แบตแบบละเอียดได้ใน Battery Usage

เมื่อเข้าไปที่หน้า Settings > General > Usage จะมีตัวเลือกให้ดู Battery Usage ได้ สามารถดูเปอร์เซนต์เป็นรายแอพได้แบบเดียวกันกับฝั่งของ Android เลย มีตัวเลือกในการดู 2 แบบคือดูย้อนหลัง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา กับดูย้อนหลัง 7 วัน ต่อไปนี้แอพไหนที่กินแบตเยอะ เราก็สามารถรู้ได้แล้ว
photo22

แอพกล้องมีตัวเลือกมากขึ้น

ถึงแม้ในงาน WWDC จะไม่มีพูดถึงแอพกล้องเลย แต่ก็มีความสามารถเพิ่มเข้ามาด้วยกันหลายอย่างเลยหล่ะครับ อย่างแรกคือสามารถตั้งเวลานับถอยหลังในการถ่ายรูปได้แล้ว (ซักที!) สามารถเลือกได้ว่าจะนับถอยหลัง 3 วิ หรือ 10 วิ
photo23 
อย่างต่อมา ขณะที่เราจิ้มโฟกัส จะสามารถปัดนิ้วขึ้นลงเพื่อเลื่อนระดับความสว่างของภาพได้ 
photo24

และมีโหมดในการถ่ายรูปโหมดใหม่ “Time-Lapse” ที่จะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ประมาณวินาทีละรูป แล้วนำรูปทั้งหมดมาต่อกันเป็นวีดีโอให้ อย่างในวีดีโอตัวอย่างที่เราลองถ่ายมานี้ก็ถ่ายทิ้งไว้ประมาณเกือบ 15 นาทีครับ
 
ส่วนใครที่ใช้ iPad อยู่ แอพกล้องเองจะมีความสามารถในการถ่าย Panorama ได้แล้วเช่นกัน
photo25

แอพ Photos แต่งรูปเก่งขึ้น, ตัวเลือกมากขึ้น

เมื่อพูดถึงการถ่ายภาพแล้ว เดี๋ยวนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการแต่งภาพใช่ไหมหล่ะครับ สำหรับใน iOS 8 ได้มีการเพิ่มความสามารถในการแต่งภาพให้เก่งขึ้นไปอีกขั้นนึง 
photo26

ความสามารถที่เพิ่มเข้ามาก็เช่นการ Crop รูป แบบกำหนดอัตราส่วนได้, ภาพไหนที่ถ่ายมาเอียง ก็สามารถหมุนเองให้รูปตรงได้อัตโนมัติ หรือจะปรับกี่องศาก็แล้วแต่เราเลย 
photo27

ด้านการปรับแสงและสีของรูปก็มีตัวเลือกให้เลือกมากขึ้น ส่วน ใครที่ขี้เกียจปรับเยอะ ปุ่ม Auto Enhance ที่กดทีเดียวแต่งรูปให้เลยก็ยังมีอยู่ ฟังก์ชั่นการแต่งรูปใหม่นี้น่าจะถูก ใจหลายๆ คน เอาไว้ใช้แทนแอพแต่งรูปง่ายๆ บางแอพได้เลย
photo28

ในส่วนของแอพ Photos เองก็มีการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เช่นสามารถค้นหารูปได้แล้ว โดยเราสามารถพิมพ์ค้นหาตามสถานที่ ที่ถ่ายภาพ แอพก็จะหาภาพที่ถ่ายตามสถานที่ในชื่อนั้นๆ มาให้
photo29

ในหน้าดูรูปที่เราถ่าย สามารถกด Favorite แต่ละรูปได้ที่รูปหัวใจด้านล่าง ซึ่งจะมีอัลบัมภาพที่ถูกกด Favorite ให้เราเข้าไปดูง่ายๆ แยกออกมาต่างหากโดยเฉพาะ
photo30

สำหรับการลบภาพทิ้งใน iOS 8 นี้ การลบรูป จะไม่ได้ลบแล้วลบเลยเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่เมื่อกดลบ รูปของเราจะย้ายไปอยู่ใน Recently Deleted (คล้ายๆ กันกับ Recycle Bin ใน Windows นั่นเอง) เผื่อเผลอลบรูปผิด ก็สามารถกลับเข้าไปกู้ภาพได้ ส่วนรูปที่ลบแล้วมาอยู่ใน Recently Deleted ก็สามารถกดกู้/กดลบเป็นรายรูปได้ หรือจะกดกู้/ลบรูปทั้งหมดทิ้งในทีเดียวเลยก็ได้ 
photo31

ต่อไปนี้ใน iOS 8 เวลาจะลบรูปอะไรก็อย่างลืมมาลบใน Recently Deleted นี้ด้วยนะคร้าบ อิอิ

ตัวเลือกใหม่ในการเก็บรูปบน iCloud

การเก็บรูปภาพที่ถ่าย ขึ้นไปบน iCloud จะมีตัวเลือกใหม่ขึ้นมา ของเดิมคือจะอัพรูปถ่ายขึ้น Photo Stream อัตโนมัติ รูปที่ถูกเก็บอยู่บน Photo Stream จะถูกส่งไปที่เครื่องอื่นๆ ของเราโดยอัตโนมัติ โดยรูปที่อยู่บน Photo Stream จะถูกจำกัดอยู่ที่ 30 วัน ถ้าเราไม่เปิดเครื่องอื่นๆ เพื่อดึงรูปไปก่อนภายใน 1 เดือน รูปก็จะไม่ถูกส่งไปที่เครื่องนั้นๆ 
ซึ่งใน iOS 8 จะเพิ่มทางเลือกใหม่ อีกทางเลือกนึกนึง คือการที่สามารถอัพ Photo Library ทั้งอันขึ้นไปอยู่บน iCloud ได้เลย ไม่จำจัดจำนวนภาพหรือจำนวนวันอีกต่อไป แต่จะใช้พื้นที่บน iCloud ของเราแทน โดยพื้นที่ตรงนี้มีมาให้ 5GB รวมกับการใช้งาน iCloud อย่างอื่นทั้งหมด 
photo32

ถ้าอยากได้พื้นที่ iCloud เพิ่มก็จะต้องซื้อครับ ราคาค่อนข้างแฟร์ดีสำหรับคนที่อยากสำรองข้อมูลไว้ให้อยู่เป็นหลักแหล่งแน่ นอน แลtสะดวกในการโหลดมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ โดยเริ่มที่ 20GB ราคา 30 บาทต่อเดือน 
แต่ถ้าคิดว่ายังไม่จำเป็น ก็สามารถเลือกใช้ Photo Stream เพื่อส่งรูปมาเก็บไว้ในคอมแบบเดิมได้ครับ

หน้าแชร์ปรับแต่งได้ตามใจเรา

หลังจากพูดถึงแอพกล้องไปแล้ว แต่งรูปไปแล้ว อย่างต่อมา ตัวเลือกในการ Share ก็ได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเช่นกัน
เพราะใน iOS 8 นี้เราจะสามารถจัดการตัวเลือกในหน้า Share ได้แล้วว่าจะให้มีตัวเลือกแชร์ไปไหนได้บ้าง โดนกดที่ปุ่ม “More” อันหลังสุด อย่างในหน้านี้ ถ้าเราไม่เคยใช้ Flickr ก็สามารถปิดไม่ให้อยู่ในหน้า Share ได้ ส่วนถ้าเราแชร์ขึ้น Facebook บ่อยๆ เราก็เลื่อนไอค่อนของ Facebook ไปไว้อันแรกได้เลย 
photo33

ส่วนแถบการจัดการอื่นๆ ที่ด้านล่าง ก็สามารถตั้งได้เช่นกันว่าจะให้ตัวเลือกไหนอยู่ก่อนหลัง
photo34 
เป็นอย่างไรกันบ้าง กับ iOS 8 beta 1 บอกเลยว่านี่ยังไม่หมดส่วนที่เพิ่มเข้ามาใหม่ใน iOS 8 นะครับ เพราะมันมีอะไรใหม่เข้ามาเยอะมากจริงๆ ดังนั้นส่วนที่เหลือเดี๋ยวเรามาดูกันต่อในรีวิว iOS 8 ตอนหน้ากัน รับรองว่า iOS 8 ยังมีอะไรเด็ดๆ อยู่อีกหลายอย่างเลย

ที่มา : iPhone society